กระเจี๊ยบเขียวมีประโยชน์อย่างไร

กระเจี๊ยบเขียว ( Okra ) เป็นไม้ล้มลุกขนาดกึ่งกลางจำพวกฝักสีเขียวที่กินได้นิยมเอามาปรุงเป็นของกิน ฝักอ่อนมีรสชาติหวาน กรอบอร่อย ส่วนฝักแก่จะมีเนื้อเหนียว มีชื่อเรียกตามเขตแดนของกระเจี๊ยบ มะเขือมอญ กระเจี๊ยบมอญ มะเขือทะวาย มะเขือลื่น มะเขือประเทศพม่า มะเขือมื่น มะเขือละโว้ ถั่วเหลว จัดอยู่ในสกุลชบา MALVACEAE ชื่อวิทยาศาสตร์ Abelmoschus esculentus (L.) Moench

jumbo jili
กระเจี๊ยบมีบ้านเกิดในเขตร้อนแถบแอฟริกาตะวันตกแล้วก็นำเข้าไปยังยุโรปตะวันตก ปัจจุบันนี้กระเจี๊ยบเขียวเป็นที่ชื่นชอบในแอฟริกาตะวันออกกลาง กรีซ ประเทศตุรกี ประเทศอินเดีย แคริบเบียน อเมริกาใต้ แล้วก็ตอนใต้ของอเมริกา
ผักกระเจี๊ยบเขียวอุดมด้วยสารอาหารรวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระหลัก โดยยิ่งไปกว่านั้นฟลาโวนอยด์ ไอโซเคอร์สิติเตียน วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินเค เป็นสารประกอบในของกินที่ปกป้องความย่ำแย่จากโมเลกุลที่เกิดอันตรายเรียกว่า อนุมูลอิสระ กระเจี๊ยบก็เลยมีคุณประโยชน์มากไม่น้อยเลยทีเดียว นิยมใช้ปรุงเป็นของกิน หรือช่วยเพิ่มความหวานในของกิน ยกตัวอย่างเช่น น้ำซุป ใบรวมทั้งผลอ่อนใช้เป็นยาพอกแก้เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ในบางประเทศนำเม็ดแก่กระเจี๊ยบมาใช้แทนเม็ดกาแฟ ฝักอ่อนกระเจี๊ยบเขียวเอามากินสด ผักต้มจิ้มน้ำพริก หรือปรุงเป็นของกิน ส่วนเม็ดใช้สกัดน้ำมันได้ ใยกระเจี๊ยบเขียวสามารถใช้ในลัษณะของการผลิตกระดาษได้ รวมทั้งในฝักกระเจี๊ยบนั้นยังเป็นแหล่งแคลเซียมธรรมชาติที่ไม่ทำให้เกิดผลกระทบไม่มีอันตรายในการบริโภค ในทางการแพทย์ยังคงใช้มูกจากฝักสดกระเจี๊ยบเขียวมาใช้รักษาอาการของกินไม่ย่อยอีกด้วย
รูปแบบของกระเจี๊ยบเขียว
ต้นกระเจี๊ยบเขียว เป็นผักยอดนิยมในภูมิภาคเขตร้อนเพราะว่าปลูกได้ไม่ยากได้ผลผลิตเร็ว ทนต่อลักษณะอากาศแล้วก็มีแรงต้านทานต่อโรครวมทั้งแมลงศัตรูพืช
มีลำต้นตั้งชันขนาดเล็กสูงราวๆ 2 เมตร แล้วก็กิ่งที่แตกออกจากลำต้นสลับกันสีเขียวอ่อน มีขนอ่อนสีขาวรอบลำต้นสัมผัสได้
ใบกระเจี๊ยบเขียว ลักษณะใบกว้างมีความยาว 10–20 ซม. ใบมี 5-7 แฉก เหมือนรูปหัวใจ ขอบของใบหยัก ปลายใบมนแหลม มีขนอ่อน
ดอกกระเจี๊ยบเขียว ดอกสีเหลืองอ่อนมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 4-8 ซม. มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบปลายกลีบโค้งมน ดอกมีเกสรตัวผู้เยอะๆ มีก้านยกอับเรณูรวมกันลักษณะเป็นหลอดยาวราวๆ 2-3 ซม.ห่อหุ้มเกสรตัวเมียไว้
ผลกระเจี๊ยบเขียว หรือ ฝักกระเจี๊ยบเขียว ลักษณะผลอ่อนมีสีเขียวอ่อนไปถึงเข้ม ทรงเป็นเหลี่ยมยาว 5 – 9 เหลี่ยม ปลายฝักเรียวแหลม มีขนอ่อนสีขาว เมื่อเวลาผ่านไป ฝักเริ่มแก่จะกลายเป็นสีน้ำตาลแล้วจะแตกออก
เม็ดกระเจี๊ยบเขียว ลักษณะเม็ดอ่อนจะมีสีขาวเรียงเป็นแนวยาวตามความยาวของแต่ละฝักมีเม็ดโดยประมาณ 50-80 เม็ด เมื่อเวลาผ่านไปเม็ดเริ่มแก่จะกลายเป็นสีเขียวอมดำ

สล็อต
การขยายพันธุ์กระเจี๊ยบเขียว แพร่พันธุ์จากการเพาะเม็ดโดยนำไปแช่น้ำ 1 คืนที่ผ่านมาปลูกจะช่วยทำให้เมล็ดพันธุ์พืชแตกหน่อได้เร็วขึ้น ซึ่งกระเจี๊ยบเป็นผักท้องถิ่นที่ถูกใจความร้อนเติบโตได้ดิบได้ดีที่สุดในสภาพภูมิอากาศเมืองไทยและก็ถูกใจดินร่วนซุยคละเคล้าทรายที่มีการระบายน้ำได้ดิบได้ดีถึงปานกลาง ดินต้องมีสารอินทรีย์สูงโดยมี pH ระหว่าง 5.8 ถึง 6.8 ควรจะปลูกลงในรอบๆที่มีแสงตะวันจัด เพราะว่ากระเจี๊ยบเขียวเติบโตเจริญที่สุดในอุณหภูมิที่ร้อน 35 – 65 องศาเซลเซียส
การเก็บเกี่ยวฝักกระเจี๊ยบอ่อน จะเริ่มเก็บผลิตผลโดยประมาณ 2 เดือนข้างหลังปลูก โดยธรรมดาฝักกระเจี๊ยบเขียวจะพร้อมเก็บเกี่ยว 4-6 คราวหลังดอกบาน
และก็ควรที่จะเก็บเกี่ยวฝักกระเจี๊ยบเขียวทุกๆ2-3 วัน เมื่อมีความยาวถึง 7.6–15.2 ซม. สามารถนำฝักออกมาจากต้นได้โดยการตัดด้วยมีดคมหรือหักจากต้นก็ได้ด้วยเหมือนกัน
ด้านการแพทย์ยังคงใช้มูกจากฝักสดกระเจี๊ยบเขียวมาใช้รักษาอาการของกินไม่ย่อย
คุณประโยชน์รวมทั้งคุณประโยชน์ซึ่งมาจากกระเจี๊ยบเขียว
กระเจี๊ยบเขียวอ่อนมีใยอาหารเป็นหลักทั้งมีแคลอรี่ต่ำแทบจะปราศจากไขมันเลย นอกจากนั้นยังเป็นแหล่งแคลเซียม วิตามินเค วิตามินเอ สังกะสี และก็วิตามินซี ที่สำคัญใยอาหารมีองค์ประกอบ 2 ส่วนเป็นเส้นใยที่ไม่ละลายน้ำซึ่งเป็นองค์ประกอบของผักแทบทุกประเภท รวมทั้งเส้นใยที่ละลายน้ำได้ ซึ่งเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของมูกที่กระเจี๊ยบมี เส้นใยที่ละลายน้ำได้มีหน้าที่สำคัญที่สุดสำหรับเพื่อการลดระดับคอเลสเตอรอลรวมถึงดักจับไขมันส่วนเกินในร่างกาย
การกินกระเจี๊ยบเขียวให้คุณประโยชน์ด้านของสุขภาพ ดังต่อไปนี้

  1. ช่วยเพิ่มแนวทางการทำงานของระบบภูมิต้านทาน
  2. กระเจี๊ยบเขียวเป็นแหล่งโปรตีนที่ย่อยง่ายและก็เป็นของกินที่เหมาะกับชาวมังสวิรัติ
  3. ใยอาหารของกระเจี๊ยบเขียวช่วยทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น
  4. รับประทานกระเจี๊ยบเขียวช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอล ช่วยสำหรับในการลดน้ำได้ได้ลดไม่มันไม่ดี (LDL)
  5. ช่วยเพิ่มรูปแบบการทำงานของหัวใจสล็อตออนไลน์
  6. กระเจี๊ยบเขียวสามารถช่วยทำให้ทุกคนไกลห่างจากโรคมะเร็งได้
  7. จำนวนโฟเลตที่สูงในกระเจี๊ยบมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากเป็นของกินชั้นเลิศสำหรับหญิงก่อนมีครรภ์
    หรือในระหว่างท้องจะช่วยสนับสนุนให้แม่และก็เด็กทารกมีสุขภาพแข็งแรง
  8. ช่วยชะลออัตราการดูดซึมน้ำตาลในทางเดินของกิน
  9. ช่วยคุ้มครองเบาหวาน ลดระดับน้ำตาลที่อยู่ในเลือด
  10. ช่วยปกป้องโรคไต
  11. ช่วยทำนุบำรุงสมอง
  12. ช่วยลดอาการหอบหืด ทุเลาอาการทางเท้าหายใจ
  13. ช่วยต้านทานการอักเสบ ดังเช่น การดูแลรักษาปอดอักเสบ เจ็บคอ แล้วก็อาการไส้ผันแปร
  14. ช่วยลดการเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจก และก็หน้าจอประสาทตาเสื่อม
  15. ช่วยสำหรับเพื่อการเจริญวัย ฟื้นฟูเซลล์ผิว รวมทั้งเพิ่มปริมาณคอลลาเจน ทำให้ผิวมองเรียบเนียนอ่อนวัยรวมทั้งมีสุขภาพแข็งแรง
  16. มูกของกระเจี๊ยบเขียวช่วยฉาบทางเดินอาหาร รวมทั้งช่วยรักษาแผลในกระเพาะให้กระปรี้กระเปร่าขึ้น
    17.ช่วยทุเลาลักษณะของการปวดท้องของโรคกระเพาะ
  17. ช่วยทำให้ระบบที่ทำหน้าที่ย่อยอาหารดี
  18. ช่วยปกป้องความแปลกของท่อประสาท
  19. ช่วยคุ้มครองปกป้องโรคโลหิตจาง
  20. ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง
  21. ช่วยสร้างโปรตีนที่มีสาระสำหรับการสร้างเยื่อใหม่ ปรับปรุงแก้ไขซ่อนแซมเยื่อที่เสียหาย
  22. ช่วยรีบการสลายเดกซ์โทรสรวมทั้งไขมันไม่ดี
  23. ช่วยเพิ่มอัลบูมินซึ่งเป็นโปรตีนในเลือดที่เป็นประโยชน์ในตับ
  24. ปกป้องผิวจากแสงตะวัน
  25. ช่วยลดโปรตีนในเยี่ยว
  26. ช่วยลดลักษณะของการปวดฟันกราม ลดการอักเสบรวมทั้งความเจ็บjumboslot
    ตารางข้อมูลทางโภชนาการของกระเจี๊ยบเขียวดิบ 100 กรัม
    กระเจี๊ยบเขียวดิบ 100 กรัม ให้พลังงาน 43 แคลอรี
    สารอาหาร จำนวนสารอาหาร
    แคลเซียม 85 มก.
    ไขมัน 2.32 กรัม
    โซเดียม 231 มก.
    คาร์โบไฮเดรต 5.08 กรัม
    ใยอาหาร 2.6 กรัม
    น้ำตาล 2.57 กรัม
    โปรตีน 1.92 กรัม
    เหล็ก 0.48 มก.
    โพแทสเซียม 182 มก.
    วิตามินเอ 37 มก.
    วิตามินซี 13.7 มก.
    แคโรทีน ไทอามีน ไรโบฟลาวิน ไนอาสิน
    นอกเหนือจากนี้ กระเจี๊ยบเขียวมีสารประกอบที่มีประโยชน์ฯลฯ ตัวอย่างเช่น ค้างเทเคยชิน ฟลาโม้นอล กรดไฮดรอกซีซินนามิก แทนนิน สเตอรอคอยล Quercetin, Triterpenes, Pectic rhamnogalacturonan I, Epigallocatechin
    การใช้ผลดีจากกระเจี๊ยบเขียว
    ใบรวมทั้งผลอ่อนกระเจี๊ยบเขียว : ใช้เป็นยาพอกแก้เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว
    ฝักอ่อนกระเจี๊ยบเขียว : รับประทานสดได้ หรือเอามาปรุงเป็นเมนูอาหารได้มากมายรายการอาหาร
    เม็ดกระเจี๊ยบเขียวแห้ง : ใช้สกัดเป็นน้ำมัน บางประเทศคั่วและก็บดเพื่อทำกาแฟที่ไม่มีคาเฟอีน
    ดอกกระเจี๊ยบเขียว : เอามาตำใช้พอกแผลจากฝีแล้วก็ช่วยรักษาฝีได้
    มูก หรือยางจากผลสดกระเจี๊ยบเขียว : มีคุณประโยชน์ทางยา
    รากกระเจี๊ยบเขียว : ใช้เป็นยาสมุนไพรล้างแผลรวมทั้งแผลพุพอง
    เส้นใยจากกระเจี๊ยบเขียว : ใช้ในลัษณะของการผลิตกระดาษ
    ผงกระเจี๊ยบเขียว : ใช้รักษาโรคกระเพาะ
    น้ำกระเจี๊ยบเขียว : ช่วยลดหุ่น ลดระดับความดันslot
    ผลกระทบจากกระเจี๊ยบเขียว
    จากการศึกษาเล่าเรียนพบว่าการกินกระเจี๊ยบเขียวมีความปลอดภัยสูงในจำนวนของกินทั่วๆไป แต่ว่าอาจส่งผลให้กำเนิดอาการแพ้ในระหว่างการเก็บเกี่ยวผลิตผล เพราะผิวหนังสัมผัสกันขนกระเจี๊ยบเขียวโดยตรงอาจจะทำให้ผิวหนังเป็นผื่นคัน หรือมีการอักเสบได้
    ข้อควรไตร่ตรอง
    สำหรับคนป่วยโรคเบาหวานที่รับประทานยา Metformin ( เมโทฟอร์มิน )เป็นยาที่ใช้ในลัษณะของการรักษาโรคโรคเบาหวาน มีคุณลักษณะสำหรับในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ถ้าเกิดคนป่วยรับประทานยาประเภทนี้อยู่ไม่สมควรรับประทานกระเจี๊ยบเขียวในเวลาใกล้เคียงกัน ควรจะเว้นระยะห่าง 1-2 ชั่วโมง เพราะเหตุว่ากระเจี๊ยบเขียวมีฤทธ์ลดการดูดซึมบางทีอาจมีผลต่อการดูดซึมยาประเภทนี้ได้
    ในผลอ่อนกระเจี๊ยบเขียวที่มีแคลเซียมในจำนวนมากเป็นเรื่องสำคัญไม่เพียงแค่กระดูกและก็ฟันแค่นั้น แต่ว่ายังรวมทั้งแนวทางการทำงานของร่างกายฯลฯ อาทิเช่น การยุบตัวของกล้าม และก็การส่งสัณญาณสนองตอบของระบบประสาทที่เยี่ยมที่สุด กระเจี๊ยบก็เลยเป็นของกินที่อุดมไปด้วยแคลเซียมสูงที่ได้จากธรรมชาตินอกจากนม นอกนั้นแคลเซียมยังมีความหมายต่อเด็กอายุระหว่าง 4 – 18 ปี อยากได้แคลเซียม 1,300 มก.ต่อวัน สำหรับคนแก่จำนวนที่เสนอแนะต่อวันเป็นแคลเซียม 1,000 มก.ต่อวัน และก็คนชราควรจะกินแคลเซียม 1,200 มก.ต่อวัน เพราะร่างกายของพวกเราไม่สามารถที่จะผลิตแคลเซียมได้ด้วยเหตุผลดังกล่าวก็เลยจำเป็นต้องบริโภคของกินที่อุดมด้วยแคลเซียมได้แก่กระเจี๊ยบเขียวนั่นเอง