การเลือกสารให้รสหวานแทนน้ำตาล
ถ้าเกิดเอ๋ยถึงเบาหวานในขณะนี้ทุกๆวันนี้อาจไม่มีผู้ใดไม่เคยรู้คนจำนวนไม่น้อยต่างให้ความสนในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาสุขภาพร่างกายตัวเองเยอะขึ้น โดยยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคน้ำตาล เนื่องมาจากการบริโภคน้ำตาลในจำนวนที่มากเกินความจำเป็น และไม่ได้ใช้พลังงานที่ได้รับออกไปให้หมด น้ำตาลนั้นก็จะกระทำสลับตัวเองเป็นรูปของไขมันไปสะสมอยู่ภายในร่างกาย กระทั่งเป็นสาเหตุของโรคร้ายต่างๆได้ ได้แก่ โรคอ้วน เบาหวาน ความดันเลือด โรคหัวใจ
jumbo jili
แล้วก็รวมทั้งโรคที่เกิดขึ้นและมีปัญหาเกี่ยวกับเส้นเลือดอีกด้วย คนไม่ใช่น้อยก็เลยเริ่มเปลี่ยนการบริโภคน้ำตาล โดยหันมาบริโภค สารให้ความหวาน หรือน้ำตาลเทียมแทนน้ำตาลจริงอย่าง น้ำตาลหรือน้ำตาลซูโครส เนื่องด้วยน้ำตาลจริงจะสามารถซึมซับไปสู่ร่างกายได้อย่างเร็วมากมาย ซึ่งน้ำตาลเทียมหรือสารให้ความหวานจะมีการซับเข้าร่างกายโดยใช้เวลานานกว่านั้นเอง
สารให้ความหวาน หรือน้ำตาลเทียม สามารถซึมซับไปสู่ร่างกายโดยใช้เวลานาน
สารให้ความหวานแทนน้ำตาล หรือ น้ำตาลเทียม
เป็นสารเคมีประเภทหนึ่งยอดนิยมอย่างยิ่งในตอนนี้ โดยจะให้รสหวานแต่ว่าไร้ค่าทางโภชนาการ และไม่ก่อกำเนิดพลังงานนิยมประยุกต์ใช้กับคนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานที่ทานน้ำตาลจริงมิได้เป็นสารที่นิยมประยุกต์ใช้ในทางการแพทย์ นอกจากนั้นยังคงใช้เป็นเครื่องปรุงรสของกินสำหรับคนเจ็บไข้ได้ป่วยอ้วนหรืออยากได้ควบคุมจำนวนน้ำหนักรวมทั้งยังคงใช้ในอุตสาหกรรมด้านที่เกี่ยวข้องกับการผลิตของกิน เพื่อลดทุนการสร้าง หรือเป็นหนทางให้กับลูกค้าได้อีกด้วย สารให้ความหวานหรือน้ำตาลเทียมมีด้วยกันมากมายหลายประเภท ดังนี้
1.ขัณฑสกรหรือแซ็กคาริน
แซ็กคาริน หรือที่ชาวไทยมักรู้จักกันในชื่อของ ขัณฑสกร เป็นสารสังเคราะห์ ที่ ให้ความหวานแทนน้ำตาล ประเภทหนึ่ง ถูกสังเคราะห์ขึ้นในปี คริสต์ศักราช 1879 เป็นผุยผงผลึกสีขาว ทนต่อความร้อนแล้วก็ละลายในน้ำเจริญไม่มีพลังงาน นิยมใช้กันอย่างมากมายมานานนับเป็นเวลาหลายปีแล้ว มีความหวานมากยิ่งกว่าน้ำตาลราวๆ 500 เท่า แต่ว่าที่มีขายจะอยู่ในรูปของแซ็กคารินโซเดียม จะให้รสหวานมากยิ่งกว่าน้ำตาลราวๆ 375 เท่า เมื่อกินเข้าไปแล้ว ขัณฑสกรหรือแซ็กคารินจะเบาๆถูกดูดซับเข้าร่างกายอย่างช้าๆรวมทั้งต่อจากนั้นก็เลยจะถูกขับออกมาในรูปของฉี่ โดยจะมีภาวะเดิมราว 95% ภายในช่วงระยะเวลาราวๆ 4 ชั่วโมง
สล็อต
แม้กระนั้นจากการทดสอบ สารขัณฑสกรหรือแซ็กคาริน ที่ใช้ทดลองกับสัตว์ทดสอบในห้องทดลองพบว่า สัตว์ทดสอบพวกนั้นมีทิศทางที่จะเป็นโรคมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะจากการบริจาคสารขัณฑสกรหรือแซ็กคารินเข้าไป แม้กระนั้นดังนี้ก็ยังไม่มีข้อมูลอะไรก็ตามที่แสดงว่าเจอได้ในคนจากข้อมูลดังกล่าวมาแล้วข้างต้น หลายข้างก็กำเนิดความกลุ้มใจที่จะนำ แซ็กคารินมาใช้สำหรับในการบริโภค แต่ว่าดังนี้ชมรมหมอประเทศสหรัฐอเมริกาเองก็ยังคงส่งเสริมการใช้แซ็กคารินถัดไปโดยบอกเหตุผลว่าจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าแซ็กคารินจะเพิ่มจังหวะของการเกิดโรคมะเร็งในคนได้ แม้กระนั้นการใช้ แซ็กคาริน ก็มีข้อที่ควรรอบคอบเป็น สำหรับสตรีตั้งท้องหรือในเด็ก ไม่สมควรใช้สารแซ็กคาริน เพราะว่ายังไม่มีข้อมูลด้านความปลอดภัยที่พอเพียง เมื่อประยุกต์ใช้กับคนนั้นเองหลีกเลี่ยงได้ก็น่าจะหลีกเลี่ยง
สำหรับในประเทศไทย มีการนำสารขัณฑสกรหรือแซ็กคารินเข้ามาใช้กันเป็นอันมาก แต่ว่าก็มีการควบคุมไม่ให้ใช้กับสินค้าบางประเภท ตัวอย่างเช่น ของกินเด็ก น้ำหวาน น้ำอัดลม แม้กระนั้นสามารถใช้ได้กับของกินบางประเภทที่ทำขึ้นสำหรับคนบางกรุ๊ป ดังเช่น คนเจ็บที่เป็นโรคโรคเบาหวาน โดยของกินจำพวกนั้นจะต้องมีเนื้อหาและก็การตักเตือนเจาะจงไว้ที่ฉลากให้ผู้ซื้อรู้ด้วย
2.ไซคลาเมต
ไซลาเมต ( Cyclamate ) เป็นเกลือของกรดไซคลามิกมีลักษณะเป็นผลึกสีขาว คุณลักษณะทนไฟได้ เก็บได้ในช่วงเวลานาน เป็นสารที่ให้ความหวานยอดนิยมรองมาจาก สารขัณฑสกรหรือแซ็กคาริน แต่ว่าก็มีความอันตรายอย่างยิ่งกว่าไซลาเมตมีความมากมายว่าน้ำตาลจริงราวๆ 30 เท่า เป็น สารให้ความหวาน จำพวกยอดนิยม อย่างยิ่งในสมัยก่อน แม้กระนั้นก็ถูกยังบังคบให้เลิกขายในปี คริสต์ศักราช 1970 จาก อย.ของสหรัฐฯ (FDA) เนื่องมาจากเจอข้อมูลที่ได้รับมาจากการทดลองว่า ทำให้หนูที่นำไปทดสอบกับการให้ไซลาเมต แล้วพบว่ากำเนิดโรคมะเร็งขึ้นในหนูที่ทดสอบนั้นเอง
สล็อตออนไลน์
3.แอสพาร์เทม
แอสพาร์เทม เป็น สารให้ความหวาน อีกประเภทหนึ่ง มีลักษณะเป็นผลึกสีขาว ละเอียด ไม่มีกลิ่น มีชื่อเรียกสำหรับการค้าเยอะแยะ ได้แก่ อิควลฟิทเนสพอลสวิทสลิมม่า ฯลฯแอสพาร์เทมถูกเอามาวางขายในตลาดหนแรกเมื่อปี คริสต์ศักราช1965 ประกอบไปด้วยกรดอะมิโน 2 ตัวจับกันหมายถึงกรดแอสพาร์ติเตียนก รวมทั้งกรดเฟนิลอะลานีน ให้พลังงานพอๆกับ 4 กิโลแคลอรี/กรัม พอๆกับพลังงานที่ได้จากน้ำตาล แต่ว่าจะซับเข้าร่างกายได้ช้ากว่าแอสพาร์เทมมีความหวานเป็น 200 เท่าของน้ำตาล จำนวนสำหรับการใช้แต่ละครั้งก็เลยน้อยกว่าน้ำตาลก็เลยทำให้ร่างกายได้รับพลังงานที่น้อยกว่าการใช้น้ำตาล โดย แอสพาร์เทม 1 ซอง ( ราว 38 มก. ) จะให้ความหวานเสมอกันกับน้ำตาล 2 ช้อนชา จุดเด่นอีกอย่างของแอสพาร์เทมเป็นรสหวานของสารมีความใกล้เคียงกับน้ำตาลจริงมากมาย และไม่มีรสขมซึ่งไม่เหมือนกับแซ็กคาริน และก็ถ้าหากใช้ผสมด้วยกันระหว่างแอสพาร์เทมรวมทั้งแซ็กคาริน ความหวานที่ได้รับจะมากมายว่าการใช้เพียงแต่จำพวกใดประเภทหนึ่งในสารให้ความหวานชดเชยน้ำตาลหลายๆประเภท
แอสพาร์เทม เป็นประเภทที่ได้รับการทดลองด้านความปลอดภัยสูงที่สุด ก่อนการให้นำไปขายจากอย.ของประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยเหตุว่า สารให้ความหวาน จำพวกก่อนหน้านี้ที่ผ่านมายังคงมิได้รับความเชื่อมั่นในเรื่องความปลอดภัยต่อคนนั้นเองการใช้จำนวนของ แอสพาร์เทม ซึ่งสามารถบริโภคได้โดยสวัสดิภาพเป็น ราววันละไม่เกิน 50 มก.ต่อน้ำหนักตัว 1 โล หากน้ำหนักตัวพอๆกับ 70 กก. จะสามารถใช้แอสพาร์เทมได้วันละ 3,500 มก. ( โดยประมาณ 90 ซอง ) ซึ่งถ้าหากดูอันที่จริงแล้วก็คงจะไม่มีผู้ใดใช้ในจำนวนเกินที่ตั้งไว้แน่ๆ แต่ว่าก็มีข้อควรพิจารณาสำหรับในการใช้งานเป็น ในกรุ๊ปของเด็กตัวเล็กๆ แล้วก็ กรุ๊ปคนที่เป็นโรคเฟนิลคีโทนยูเรีย นั้นไม่สมควรใช้แอสพาร์เทม เพราะว่าจะขาดโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีที่จะปฏิบัติภารกิจกำจัดเฟนิลอะลานีนออกจากร่างกาย แล้วก็ถ้าเกิดยิ่งได้รับเฟนิลอะลานีนเพิ่มจาการกระจายตัวของแอสพาร์เทมเข้าไปอีก ก็จะก่อให้ระดับเฟนิลอะลานีนในเลือดสูงขึ้นยิ่งกว่าธรรมดา ส่งผลต่อระบบสมอง อาจก่อให้ปัญญาอ่อนได้ นอกนั้น แอสพาร์เทม ยังมีข้อเสียเป็นเป็นสารที่ไม่ทนต่อความร้อน ก็เลยใช้ในขณะหุงหาอาหารปรุงอาหารมิได้ เนื่องจากความร้อนจะก่อให้ความหวานจากสารละเหยหมดไป ฉะนั้นควรต้องเพิ่มแอสพาร์เทมภายหลังจากเข้าครัวเสร็จหรือเย็นตัวแล้วเท่านั้น
jumboslot
4.อะเซซัลเฟมโพแทสเซียม
อะเซซัลเฟมโพแทสเซียม ( Acesulfame Potassium ) หรือชื่อที่เรียกในทางการค้าขายเป็น ซูเนตต์ Sunett เป็นเกลือของสารประกอบที่ให้ความหวาน ถูกศึกษาและทำการค้นพบขึ้นในปี คริสต์ศักราช1967 รวมทั้งเริ่มเป็นที่นิยมใช้มากมายในแถบซีกโลกตะวันตกตั้งแต่ปี คริสต์ศักราช 1983 เป็นต้นมา เหตุเพราะเป็นสารประกอบให้ความหวาน ที่ได้รับการยินยอมรับจากองค์การอนามัยโลกว่ามีความปลอดภัยสำหรับเพื่อการประยุกต์ใช้งาน
อะเซซัลเฟมโพแทสเซียมจะให้ความหวานมากยิ่งกว่าน้ำตาลราว 200 เท่า แต่ว่าไม่เป็นผลต่อระดับอินซูลินหรือน้ำตาลในเลือดอะไร สามารถถูกขับออกมาจากร่างกายในภาวะเดิมทางฉี่ เป็นสารที่ไม่นำมาซึ่งฟันผุเสมือนน้ำตาลจริงเพราะว่าแบคทีเรียในโพรงปากไม่อาจจะย่อยสารจำพวกนี้ได้ แล้วก็ยังช่วยอาจจะระดับของน้ำหนักตัวเนื่องมาจากเป็นสารที่ไม่ให้พลังงาน ก็เลยถูกประยุกต์ใช้กับคนเป็นเบาหวาน หรือโรคอ้วน ด้วย สามารถใช้การทำกับข้าวได้ เพราะว่าเป็นสารที่ทนต่อความร้อน
อะเซซัลเฟมโพแทสเซียม เป็น สารให้ความหวาน ที่มีรสชาติดียิ่งกว่าสารให้ความหวานประเภทอื่นๆเพราะว่าไม่มีรสขม เมื่อนำอะเซซัลเฟมโพแทสเซียมมาผสมกับสารให้ความหวานจำพวกอื่นๆอย่างเช่น แอสพาร์เทมจะให้รสที่ใกล้เคียงกับน้ำตาล นอกเหนือจากนี้ในน้ำอัดลมบางจำพวก ที่เป็นแบบให้พลังงานน้อยหรือมีการประชาสัมพันธ์ว่า 0 แคลลอปรี่ จะมีการใช้ อะเซซัลเฟมโพแทสเซียมกับแอสพาร์เทม เป็นส่วนประกอบแทนการใช้น้ำตาลจริงเพื่อเป็นการเพิ่มหนทางให้ผู้ซื้อ
ในทางของความปลอดภัย ถึงแม้สารประกอบที่อยู่ในอะเซซัลเฟมโพแทสเซียมจะมีกำมะถัน เป็นส่วนประกอบหลัก แม้กระนั้นก็ไม่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการแพ้กับคนที่ใช้งานอะไร ต่างจากสารประกอบกำมะถันของซัลไฟต์และก็ยาซัลฟาที่มักมีอันตรายกับร่างกายได้ ก็เลยทำให้ อะเซซัลเฟมโพแทสเซียม เป็นสารให้ความหวานที่มีความปลอดภัยสูง จากหลักฐานทางการทดลองกว่า 90 ฉบับร่วมกันรวมทั้งยังไม่มีรายงานการเจออาการเกี่ยวโรคมะเร็งในสัตว์ทดลองราวกับการทดสอบในสารให้ความหวานประเภทอื่นๆอีกด้วย
การใช้ สารให้ความหวาน อย่างอะเซซัลเฟมโพแทสเซียมมีคำแนะนำสำหรับเพื่อการใช้เป็นไม่สมควรบริโภคเกิน 15 มก.ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโล ด้วยเหตุนั้นถ้าเกิดลูกค้ามีน้ำหนักตัว 60 โล ก็สามารถบริโภคอะเซซันเฟมโพแทสเซียมได้วันละ 900 มก. (พอๆกับ 0.9 กรัม) ที่สามารถเทียบเคียงได้กับจำนวนของน้ำตาลจริงถึง 200 กรัม ยกตัวอย่างเช่น การดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลราว 7.5 ลิตร อย่างยิ่งจริงๆ ซึ่งอันที่จริงแล้วมนุษย์ธรรมดาถึงจะบริโภคอะเซซันเฟมโพแทสเซียมในทุกมื้อแล้วก็ใส่ไว้ภายในของกินทุกจำพวก ก็จะได้รับอะเซซันเฟมโพแทสเซียม สูงสุดอยู่ที่วันละ 3.8 มก.ต่อน้ำหนักตัว 1 โลแค่นั้นซึ่งยังต่ำยิ่งกว่าระดับไม่มีอันตรายที่กำหนดไว้มากมาย ส่วนข้อควรปฏิบัติตามสำหรับเพื่อการใช้เป็น เด็กหรือเพศหญิงที่อยู่ในระหว่างการมีครรภ์ ควรที่จะต้องเลี่ยงสารตัวนี้จะยอดเยี่ยม เว้นเสียแต่ได้รับข้อแนะนำจากหมอก่อนเพียงแค่นั้น
slot
5.น้ำผึ้งแล้วก็น้ำตาลเลวูโลส
เลวูโลสเป็นน้ำตาลที่มีโมเลกุลลำพัง ( มอโนแซ็กคาไรด์ ) เจอได้ในน้ำผึ้งและก็ผลไม้ประเภทต่างๆสารให้ความหวาน ประเภทนี้จะไม่เหมือนกับชนิดอื่นๆที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น เนื่องมาจากเป็นสารให้ความหวานที่ได้มาจากธรรมชาติ
น้ำผึ้ง มีความหวานจากการประกอบกันของน้ำตาลหลายแบบ ตัวอย่างเช่น น้ำตาลเลวูโลส โดยประมาณ 40% น้ำตาลเดกซ์โทรส โดยประมาณ 35% แล้วก็น้ำตาลซูโครสหรือน้ำตาล ราว 10% รวมทั้งถ้าหากเปรียบเทียบกัน ความหวานในน้ำผึ้งจะอยู่ที่ราวๆ 75 % ของน้ำตาล
น้ำตาลเลวูโลส เป็นน้ำตาลชนิดที่ร่างกายสามารถใช้เป็นพลังงานได้ โดยไม่ต้องอาศัยอินซูลินสำหรับในการนำเข้าสู่เซลล์ โดยเหตุนั้นคนที่ทานน้ำตาลชนิดนี้ จะไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงมากขึ้นทันทีทันควันอย่างกับการทานน้ำตาลชนิดเดกซ์โทรส น้ำตาลหรือแป้งแต่ว่าดังนี้ น้ำตาลจำพวกเลวูโลสมีกลไกการเผาที่ไม่เหมือนกับน้ำตาลเดกซ์โทรส ตรงซึ่งสามารถเผาผลาญได้เฉพาะที่ตับรวมทั้งยังไปกระตุ้นการผลิตไขมันทั้งๆที่ตับรวมทั้งในเส้นโลหิต นำมาซึ่งการทำให้คนที่บริโภคเลวูโลส มากจนเกินไป อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีระดับไขมันไม่ดีอย่าง ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง แล้วก็ยังมีไขมันเกาะตับเพิ่มมากขึ้นด้วย
ข้อเสนอแนะสำหรับในการทานเลวูโลสและก็น้ำผึ้งหมายถึงแม้เป็นคนป่วยด้วยโรคเบาหวานซึ่งสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเจริญ สามารถทานน้ำผึ้งได้จำนวนที่จำกัดไม่เกิน 3 ช้อนโต๊ะต่อวัน รวมทั้งจำเป็นต้องรอนับหรือควบคุมจำนวนของคาร์โบไฮเดรตที่ได้รับต่อวันด้วย ซึ่งน้ำผึ้ง1 ช้อนโต๊ะจะให้พลังงานมากถึง 72 กิโลแคลอรี อย่างยิ่งจริงๆ ส่วนน้ำตาลเลวูโลสที่เจอได้ในผลไม้ต่างๆจะให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี/กรัม เหมือนกันกับน้ำตาลแล้วก็เดกซ์โทรส แม้กระนั้นเลวูโลสเป็นน้ำตาลที่บริสุทธิ์และก็มีคุณประโยชน์กว่าน้ำตาลทรายธรรมสูงถึง 2 เท่า จำนวนที่ใช้ในของกินแต่ละอย่างก็เลยน้อยกว่า ชมรมโภชนาการของสหรัฐฯได้ให้คำปรึกษาของการทานน้ำตาลในกรุ๊ปของเลวูโลสว่า ควรจะทานเลวูโลสที่มาจากผลไม้มากมายว่าการทานจากน้ำผึ้ง โดยยิ่งไปกว่านั้นผู้ป่วยโรคเบาหวานแม้ปรารถนาทานเลวูโลส ควรเป็นคนที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงและไม่เป็นโรคอ้วน รวมทั้งจำต้องทานในจำนวนที่สมควรพอเหมาะ
จะมองเห็นได้ว่ามี สารให้ความหวาน มากไม่น้อยเลยทีเดียวหลายประเภท ซึ่งสามารถใช้ทำครัวให้รสหวานแทนน้ำตาลได้อย่างดีเยี่ยม แม้กระนั้นดังนี้ไม่ว่าสารที่ประยุกต์ใช้จะเป็นจำพวกใดสุดแล้วแต่ผู้ใช้ควรศึกษาค้นคว้าข้อมูลสินค้าประเภทนั้นๆให้ดีซะก่อน ถ้าเกิดยังไม่มั่นใจว่าจะส่งผลอันตรายต่อตัวเองหรือเปล่าควรจะขอคำแนะนำหมอก่อนที่จะยอดเยี่ยม ยิ่งไปกว่านี้ยังควรจะกินในจำนวนที่สมควร ไม่มากจนเกินความจำเป็น และก็ถ้าหลีกเลี่ยงได้ควรจะรับประทานอาหารที่มีรสชาติธรรมดา ไม่หวานกระทั่งเหลือเกินก็จะดีต่อสุขภาพในระยะยาวเยอะที่สุดนั้นเอง